จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร
รัฐบาลไทยควรทำอย่างไรกับสินค้าบุหรี่ในเอฟทีเอ
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
ตามที่ระยะนี้มีการเคลื่อนไหวจากภาคประชาสังคม เรียกร้องให้รัฐบาลตัดบุหรี่และเหล้าออกจากรายการสินค้าที่จะรวมอยู่ในการเจรจาเปิดการค้าเสรี ทั้งระดับทวิภาคี (ประเทศต่อประเทศ) และพหุภาคี (ประเทศต่อกลุ่มประเทศ หรือกลุ่มประเทศต่อกลุ่มประเทศ)
มีคำถามว่า ก็ประเทศไทยเปิดเสรีสินค้ายาสูบมานานแล้ว เขตการค้าเสรีของอาเซียนหรืออาฟต้า ภาษีนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศก็เป็นสูญแล้วทำไมยังต้องยืนยันให้นำสินค้าบุหรี่ออกจากการเจรจาเอฟทีเอของประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ อีก
แสดงว่าคนจำนวนมากยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ดีว่าขณะนี้การค้าบุหรี่ระหว่างประเทศ อาศัยกติกาขององค์การค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ นั่นคือ ประเทศต่าง ๆ สามารถออกกฎหมายควบคุมยาสูบที่เข้มงวดเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนได้ตามมาตรา 20 บีของกฎองค์การค้าโลก
มีข้อแม้อยู่ว่า กฎหมายที่ออกมานั้นต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ระหว่างสินค้าผลิตภายในประเทศและสินค้านำเข้า
การควบคุมยาสูบของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งของประเทศไทยอยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้ ในระยะยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
แต่เอฟทีเอ ที่กำลังมีการเจรจากันในขณะนี้ เช่นไทยกับสหภาพยุโรปหรืออียู หรือที่ไทยกำลังจะเข้าร่วมเจรจากับทีพีพีเอ (Trans Pacific Partnership Agreement) ได้มีการเพิ่มประเด็นเรื่อง “การลงทุน” เข้ามาด้วย
จะมีการกำหนดเงื่อนไขที่บริษัทธุรกิจเอกชนสามารถที่จะฟ้องรัฐบาลหากคิดว่ากฎระเบียบที่ออกมา กระทบต่อผลประโยชน์ของตน โดยฟ้องไปที่อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ แทนการฟ้องศาลหรือฟ้ององค์การค้าโลก
ซึ่งเงื่อนไขที่ว่านี้ เป็นเงื่อนไขที่มากกว่าที่ประเทศคู่สัญญาจะต้องปฏิบัติภายใต้กฎขององค์การค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Beyond WTO หรือนอกเหนือดับเบิลยูทีโอ
การคุ้มครองการลงทุนสำหรับธุรกิจเอกชน อาจจะไม่มีปัญหาเท่าไรสำหรับสินค้าหรือธุรกิจทั่วไป แต่ไม่ควรรวมธุรกิจยาสูบหรือสุราอยู่ด้วย เพราะเป็นสินค้าเสพติดที่ทำลายสุขภาพ
เรื่องนี้มีกรณีพิพาทเกิดขึ้นแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า รัฐบาลอุรุกวัยออกประกาศให้บริษัทบุหรี่พิมพ์คำเตือนบนซองบุหรี่ขนาด 80%ตั้งแต่ปี พ.ศ.2552บริษัทบุหรี่ฟ้องศาลในประเทศอุรุกวัย แต่ศาลยกฟ้อง
บริษัทบุหรี่ข้ามชาติ ซึ่งมีฐานในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ อาศัยข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศอุรุกวัยกับสวิสเซอร์แลนด์ ฟ้องอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ กล่าวหาว่าการที่รัฐบาลอุรุกวัยออกกฎหมายให้พิมพ์คำเตือนขนาด 80%กระทบต่อการขายสินค้ายาสูบของบริษัทบุหรี่ในประเทศอุรุกวัย
กรณีพิพาทนี้ยังอยู่ในระหว่างการเป็นคดีความกันอยู่
ที่น่าสนใจคือ กรณีคำเตือนขนาด 80%ของอุรุกวัยนี้ ไม่มีใครฟ้องไปที่องค์การค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ ว่าคำเตือนมีขนาดใหญ่เกินไป
เชื่อกันว่าบริษัทบุหรี่รู้ดีว่า หากนำเรื่องขนาดภาพคำเตือนไปฟ้องดับเบิลยูทีโอ บริษัทบุหรี่จะเป็นฝ่ายแพ้ คงศึกษากฎหมายมาอย่างดีแล้ว
วกกลับมาเรื่องเอฟทีเอของไทยกับประเทศต่าง ๆ ในขณะนี้เป็นเรื่อง “Beyond WTO” หรือเงื่อนไข “นอกเหนือดับเบิลยูทีโอ” โดยจะมีเรื่องการลงทุนที่บริษัทเอกชนสามารถจะฟ้องรัฐบาลคู่สัญญาได้ หากเห็นว่ารัฐบาลออกกฎระเบียบที่กระทบต่อสินค้าของตน
ซึ่งถ้าหากสินค้าบุหรี่ถูกรวมอยู่ด้วย และได้รับสิทธิเหมือนกับสินค้าอื่น ๆ
กฎระเบียบที่รัฐบาลไทยจะออกมาใหม่เพื่อการควบคุมยาสูบตามพันธกรณีที่มีภายใต้กรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก แม้จะไม่ขัดต่อกฎระเบียบขององค์การค้าโลก
แต่อาจจะถูกบริษัทบุหรี่ฟ้องร้องอนุญาโตตุลาการโลกว่า ขัดต่อข้อตกลงเอฟทีเอที่รัฐบาลไทยทำไว้กับประเทศคู่ค้า ดังเช่นที่เกิดขึ้น กรณีประเทศอุรุกวัยก็ได้
นี่เป็นที่มาว่า ทำไมจึงต้องไม่ให้มีสินค้าบุหรี่อยู่ในเอฟทีเอ ถ้าหากเป็นไปได้
ซึ่งถึงสินค้าบุหรี่ไม่ได้อยู่ในรายการสินค้าภายใต้เอฟทีเอ ธุรกิจและสินค้าบุหรี่ ก็ได้รับสิทธิ์คุ้มครองภายใต้กฎเกณฑ์ขององค์การค้าโลก ซึ่งประเทศไทยยอมรับอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นการที่ธุรกิจและสินค้าบุหรี่ไม่ได้อยู่ในเอฟทีเอ ประเทศไทยก็จะออกกฎระเบียบในการควบคุมสินค้าบุหรี่ได้ภายใต้กรอบขององค์การค้าโลกเท่านั้น หาใช่ว่าจะทำอะไรกับสินค้าบุหรี่ก็ได้ตามใจชอบ
เพราะบริษัทบุหรี่จะฟ้องเราทันทีที่เขาเห็นว่า เราออกกฎระเบียบอะไรที่ขัดกับกฎขององค์การค้าโลก
แต่ถ้าหากยังให้สินค้าบุหรี่อยู่ในเอฟทีเอ
รัฐบาลไทยต้องยืนยันว่า ประเทศไทยมีความชอบธรรม ที่จะปฏิบัติต่อสินค้าบุหรี่ ภายใต้เงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศขององค์การค้าโลกเท่านั้นไม่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเหมือนสินค้าอื่น
ซึ่งท่าทีนี้เป็นท่าทีของรัฐบาลออสเตรเลียในการเจรจากรอบการค้าเสรีทีพีพีเอ ซึ่งออสเตรเลียร่วมกับสหรัฐอเมริกา เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเจรจากรอบนี้ เพราะออสเตรเลียไม่ต้องการให้กฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบของตัวเอง ที่ห้ามบริษัทบุหรี่พิมพ์โลโกบนซองบุหรี่ จะตกอยู่ในข่ายที่จะถูกบริษัทบุหรี่ฟ้อง ภายใต้กรอบทีพีพีเอ
กรณีกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบนี้ ประเทศฮอนดูรัสได้ฟ้องไปที่ดับเบิลยูทีโอ ว่าออสเตรเลียละเมิดเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุหรี่ ซึ่งรัฐบาลออสเตรเลียประเมินแล้วว่า ดับเบิลยูทีโอจะตัดสินให้ออสเตรเลียชนะ
และล่าสุดรัฐบาลอังกฤษเพิ่งประกาศว่าจะออกกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบเหมือนกับที่ออสเตรเลียออกมาใช้แล้ว น่าจะแสดงว่าอังกฤษก็ได้วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้วว่า กฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบจะไม่ขัดต่อกฎระเบียบของดับเบิลยูทีโอเช่นกัน
ดังนั้นรัฐบาลไทยสามารถเดินหน้าเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ ได้ แต่ต้องยืนหยัดในการเจรจาเอฟทีเอว่าสินค้าบุหรี่ เราจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของดับเบิลยูทีโอที่ประเทศไทยมีพันธกรณีเท่านั้น
สิทธิของธุรกิจเอกชนที่จะมีต่อสินค้าของตน ที่จะมีนอกเหนือกฎการค้าเสรีขององค์การค้าโลก ต้องไม่ใช่สินค้าบุหรี่
เพราะบุหรี่เป็นทั้งสินค้าเสพติด
ที่คร่าชีวิตครึ่งหนึ่งของคนที่ไม่เลิกสูบทั่วโลกปีละหกล้านคน
และประเทศไทยปีละห้าหมื่นกว่าคน
ขอแสดงความนับถือ
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ
ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติ
13 มีนาคม 2556